วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แบรนดอน รอย (Brandon Roy)

 แบรนดอน รอย (Brandon Roy)





 หลังหมดยุคของ ไมเคิล จอร์แดนไป แบรนดอน รอย ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักบาสดาวเด่นของลีก NBA และถูกเทรดให้ไปอยู่ทีม Portland Trail Blazers ซึ่งเขาก็แสดงความสามารถจนเป็นตัวทีเด็ดของทีม และสามารถคว้ารางวัลรุกกี้ยอดเยี่ยมในปี 2007 มาครองได้ และเขายังได้ร่วมเล่นในทีมออล สตาร์ถึง 3 ครั้ง ขณะที่มีอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น ทว่าเป็นที่น่าเสียดาย เพราะในปี 2011 แบรนดอนก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอาการบาดเจ็บที่เข่าจนต้องเบรกเกมไปนานนับปี ครั้นพอกลับมาลงสนามอีกครั้งก็ฟอร์มตกไปแล้ว จนปัจจุบันก็รีไทร์ตัวเองเป็นการถาวรไปแล้วด้วยปัญหาด้านสุขภาพ

          ส่วนเหตุผลที่เขาติดอันดับมาทั้ง ๆ ที่ลาวงการไปนานแล้ว นั่นเพราะความสามารถและพรสวรรค์ของเขายังคงตราตรึงใจ จนแฟนบาสเกตบอลลืมชื่อของแบรนดอน รอยไม่ได้จริง ๆ เพราะแม้ในขณะที่เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บรบกวน ซึ่งพอนับฟอร์มโดยรวมของแบรนดอน รอย แล้วจะเห็นว่าในช่วงปี 2010-2013 ชู้ตติ้ง การ์ด รายนี้ก็ลงเล่นไปได้ถึง 115 เกม เรียกได้ว่า แม้จะเจ็บก็ยังมีเลือดนักสู้อยู่เต็มตัวจริง ๆ

          และทั้งหมดนี้คือ 8 นักบาสเกตบอลที่ได้ชื่อว่ามีโอกาสจะเข้ามาเป็น นิว จอร์แดน คนใหม่ในยุคนี้ เอาเป็นว่าใครเชียร์ผู้เล่นคนไหน ก็ต้องมาคอยติดตามดูกันว่าในอนาคตพวกเขาเหล่านี้จะก้าวขึ้นมาเทียบชั้นชู้ตติ้ง การ์ด ระดับตำนานอย่าง ไมเคิล จอร์แดน ได้หรือไม่ครั




โคบี ไบรอันท์ (Kobe Bryant)

โคบี ไบรอันท์ (Kobe Bryant)




โคบี ไบรอันท์เข้าสู่วงการบาสเกตบอล NBA ตั้งแต่ปี 1996 โดยในขณะนั้นเขายังเป็นเพียงนักเรียนที่เพิ่งจบมัธยมปลายมาหมาด ๆ และถือว่าเป็นนักบาสเกตบอลอาชีพอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นคนแรก ๆ ในช่วงเวลานั้นเลยก็ว่าได้ และถึงแม้ช่วงสามฤดูกาลแรกของศึกยัดห่วง ฝีไม้ลายมือของเขายังไม่โดดเด่นนัก แต่หลังจากที่ฝึกซ้อมอย่างหนัก โคบีก็หวนกลับมาผงาดอีกครั้งจนเป็นดาวเด่นในลีก NBA ได้ร่วมอยู่ในทีมออล สตาร์ ของลีกถึง 16 นัด แถมยังทำแต้มสูงสุดถึง 31,000 คะแนน ติดอันดับผู้เล่นสำรองยอดเยี่ยมอันดับสอง ของทีมแรปเตอร์ส ด้วยคะแนน 81 แต้มต่อเกม อีกทั้งยังได้รับรางวัล NBA AWARDS อีกหลายครั้ง จนสามารถครองใจคอบาสเกตบอลได้ ที่สำคัญบรรดาสื่อต่างก็เปรียบเทียบยกให้เขาเป็น นิว จอร์แดน เลยทีเดียว

ผู้เล่นตำแหน่งการ์ดคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกเข้าสู่ NBA ตั้งแต่จบมัธยมปลาย ไบรอันต์ได้รับเลือกเป็นอันดับที่ 13 จากการดร๊าฟรอบแรกโดยทีม Charlotte Hornets ในปี 1996 อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของไบรอันต์ในขณะนั้นเห็นว่าโคบี้ไม่ควรจะเล่นให้กับทีมชาร์ล็อตต์ และชาร์ล็อตต์เองก็คิดที่จะแลกเปลี่ยนตัวผู้เล่นกับทีมเลเกอร์สอยู่แล้ว ก่อนหน้าการดร้าฟตัวผู้เล่นนั้น โคบี้มีโอกาสได้ร่วมฝึกซ้อมกับทีมในลอสแอนเจลิส ซึ่งเขาได้ต่อกรในสนามกับอดีตผู้เล่นของเลเกอร์ส คือ Larry Drew และ Michael Cooper จนสะดุดตา Jerry West ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ในที่สุดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1996 West ตัดสินใจแลกตัวผู้เล่นเซ็นเตอร์ตัวจริงของทีมเลเกอร์ส คือ Vlade Divac ไปให้ทีมฮอร์เน็ตส์ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการดร้าฟตัวไบรอันท์ และเนื่องจากโคบี้เพิ่งอายุได้ 17 ปี พ่อแม่ของเขาต้องร่วมเซ็นสัญญากับเลเกอร์ส จนกระทั่งโคบี้สามารถเซ็นสัญญาเองได้เมื่ออายุครบ 18 ปี ก่อนจะเปิดฤดูกาล


อัลเลน ไอเวอร์สัน (Allen Iverson)

 อัลเลน ไอเวอร์สัน (Allen Iverson)




   นักบาสเกตบอลฉายา AI ผู้เป็นนักบาสตัวทำคะแนนประจำทีมออล สตาร์ และยังเคยอวดฝีมือด้วยการทำคะแนนเบียดโคบี ไบรอันท์ และแซคมาแล้วในศึก NBA ฤดูกาลปี 2001 เขาพร้อมกับความสูงกว่า 6 ฟุต และความว่องไวที่หาตัวจับยาก ทำให้ผู้เล่นฝั่งตรงข้ามต้องคอยพะวงทุกครั้งที่ลูกบาสตกอยู่ภายในมือของ AI และเมื่อมีโอกาสได้ชู้ต อัลเลนก็ไม่เคยทำให้แฟนบาสเกตบอลผิดหวัง

          แต่ถึงแม้ฝีมือของอัลเลนจะเป็นที่น่าจับตา สามารถคว้ารางวัลผู้เล่นหน้าใหม่แห่งปี 2001 (Rookie of the Year, 2001) และได้ร่วมทีมออล สตาร์, ออล์ เอ็นบีเอ, ทำคะแนนสูงสุด 41.1 แต้มต่อเกม หรือได้รับรางวัลจอมฉกบอล (Steal) ยอดเยี่ยมที่สุดในเกมถึง 2 ครั้ง แต่ เขากลับมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ค่อยดีด้วยเช่นกัน เพราะมีข่าวว่าชอบเล่นนอกเกมบ่อย ๆ จนความนิยมของเขาด้อยกว่านักบาสเกตบอลคนอื่น ๆ นั่นเอง

อัลเลน ไอเวอร์สัน เกิดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ที่คาบสมุทรเวอร์จิเนียร์ เป็นบุตรของนาย อัลเลน บรอตัน (Allen Broughton) และนางแอน ไอเวอร์สัน (Ann Iverson) พ่อของเขาทิ้งครอบครัวไป เหลือแค่แม่ซึ่งขณะนั้นอายุเพียง 15 ปีอยู่ดูแลอัลเลนและน้องสาวเขาที่ชื่อ แบรนดี (Brandy) เมื่อเขาเกิดไม่นานนัก ยายของเขาซึ่งเป็นเสาหลักครอบครัวก็ได้เสียชีวิตไป เมื่อปี พ.ศ. 2534 อัลเลน แบรนดี และแม่ ก็ได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว คือ ไลชา (Leisha) ซึ่งป่วย อัลเลนมักมีหน้าที่ดูแลน้องสาวของเขาซึ่งได้แก่ แบรนดี (เกิด พ.ศ. 2522) และ ไลชา (เกิด พ.ศ. 2534) โดยเฉพาะไลชาซึ่งมีปัญหากับเปลเพราะมีอาการชักบ่อย
ภาระค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ทำให้ครอบครัวมีหนี้สินมาก พ่อเลี้ยงของอัลเลน ไมเคิล ฟรีแมน (Michael Freeman) ติดคุกอยู่บ่อย ๆ หลังจาก ฟรีแมน ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 2534 เขาก็ตกงานและถูกจับในข้อหาพกยาเสบติดเพื่อจำหน่าย ฟรีแมนเป็นคนที่สอนไอเวอร์สันให้เล่นบาสเกตบอลจนเก่ง ในอดีตไอเวอร์สันเคยโทษพ่อเลี้ยงเขาแต่ปัจจุบันกลับภูมิใจในฟรีแมน ไอเวอร์สันเคยพูดไว้ว่า "เขาไม่เคยปล้นใคร" "เขาเพียงต้องการหาเลี้ยงครอบครัวเขา" ไอเวอร์สันพูดถึงวัยเด็กของเขาว่า "ตอนกลับถึงบ้าน ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอาหาร บางครั้งก็ไม่มีน้ำ ตอนที่มีน้ำก็ไม่มีน้ำร้อน อาศัยในบ้านที่ท่อน้ำทิ้งแตกข้างใต้พื้น และต้องทนดูน้องสาวใส่ถุงเท้าเดินในบ้าน เพราะพื้นเปียกจากท่อรั่ว กลิ่นเหม็นทำให้น้องสาวป่วย"
มีคนสองคนที่เป็นแบบอย่างให้ไอเวอร์สันตอนยังเด็ก คือ แม่ของเขา และ โทนี คล็ก (Tony Clark) คนที่ไอเวอร์สันใกล้ชิดมาก เมื่อไอเวอร์สันโดดเรียน โทนี จะบอกกับแม่ไอเวอร์สันให้เธอมาจัดการ โทนีมีปัญหากับครอบครัวและเพื่อนสาว เขาถูกฆ่าตายตอนไอเวอร์สันอายุ 15 ปี ไอเวอร์สัน ไปคบกับ อันเดร สตีล (Andre Steele) แต่ตอนนี้ไอเวอร์สันเป็นคนดูแลสตีลแทน



เทรซี แม็คเกรดี (Tracy McGrady)

เทรซี แม็คเกรดี (Tracy McGrady)




นักบาสเกตบอลที่มีสไตล์การเล่นที่โดดเด่นไม่เหมือนใครคนนี้เล่นตำแหน่งชู้ตติ้ง การ์ดได้เป็นอย่างดี เขามีทักษะในการตั้งรับและปัดบอลจากฝั่งตรงข้ามชนิดที่ใครก็เทียบชั้นได้ยาก จนเคยมียุคทองของตนเองในช่วงระหว่างปี 2001-2008 แต่ด้วยความที่เทรซีไม่ค่อยใส่ใจกับการฝึกซ้อมเท่าที่ควร บวกกับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ในช่วงหลัง ทำให้ฝีมือของเขาตกลงไปมาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะพัฒนาให้กลับมาเป็นเทพในวงการยัดห่วงได้อีกครั้ง จนในที่สุดก็รั้งอันดับชู้ตติ้ง การ์ดตัวเก่งของ NBA มาอยู่ในอันดับที่ 3

ชีวิตการเล่นของแม็คเกรดีก้าวหน้ามากขึ้นเมื่อเขาบังคับให้ทีมเทรดเขาไปยังออร์แลนโด แมจิกแลกกับสิทธิ์การดราฟรอบแรกในปี พ.ศ. 2543 เขาได้รางวัลผู้เล่นพัฒนาการดีที่สุด (NBA Most Improved Player Award) และได้เลือกเป็นผู้เล่นตัวจริงในเกมออลสตาร์ ในฤดูกาล 2000-01 (พ.ศ. 2543-44) ออร์แลนโดคาดหวังว่า เขาและแกรนท์ ฮิลล์ (Grant Hill) จะเป็นกำลังสำคัญให้ทีม แต่เพราะการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่องของฮิลล์ แม็คเกรดีกลายเป็นผู้เล่นสำคัญสุดของแมจิก ในฤดูกาล 2002-03 (พ.ศ. 2545-46) แม็คเกรดีได้ตำแหน่งผู้ทำคะแนนสูงสุดในเอ็นบีเอ โดยทำได้เฉลี่ย 32.1 คะแนนต่อเกม ฤดูกาล 2003-04 (พ.ศ. 2546-47) เขาก็ได้ตำแหน่งทำคะแนนสูงสุดอีกครั้งที่ 28 คะแนนต่อเกม และทำสถิติสูงสุดของฤดูกาลเมื่อชู้ตได้ 62 คะแนนในการแข่งกับวอชิงตัน วิซารดส์เมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2547 และเป็นคนที่สี่ในรอบ 12 ปีที่ทำได้เกิน 60 แต้ม
แต่โชคก็ไม่เข้าข้างหลังจากสิ้นสุดฤดูกาล ออร์แลนโดชนะเพียง 21 เกมและได้อันดับสุดท้ายของลีก มีการกล่าวหาว่าเขาไม่ได้เล่นอย่างเต็มที่ตลอดเกม (ซึ่งเขาก็ยอมรับในเวลาต่อมา) ความสัมพันธ์ระหว่างแม็คเกรดีกับผู้จัดการทั่วไป จอห์น ไวส์บรอด (John Weisbrod) แย่ลง และไวส์บรอดตัดสินใจเทรดแม็คเกรดีแทนที่จะเก็บเขาไว้ เสี่ยงกับการที่ไม่สามารถเซ็นสัญญาต่อ และสูญเสียแม็คเกรดีโดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับมา

เรย์ อัลเลน (Ray Allen)

เรย์ อัลเลน (Ray Allen)



เรย์ อัลเลนในขณะซ้อมชู้ตก่อนเกม สมัยอยู่กับบอสตัน เซลติกส์
“ผมไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่กับลูกที่ผมชู้ตลง เพราะผมควรจะทำมันได้อยู่แล้ว จะงงมากกว่าเวลาที่ชู้ตไม่ลง ผมจะไม่บอกว่าการชู้ตเป็นนิสัยติดตัวผม เพราะมันคือสัญชาตญาณของผม”
เป็นเรื่องที่ผมมักจะรู้สึกพิเศษอยู่เสมอเวลาได้เห็นการเตรียมความพร้อมของคนด้วยวินัยและความรักต่อสิ่งที่ทำ สิ่งเหล่านี้ผมมักจะมองว่ามันคือความงดงามของการเป็นมนุษย์ เหมือนที่เคยได้เห็นจากมือกีต้าร์โปรเกสซีพ ร็อคที่ต้องใช้เวลาในการฝึกโซโลกีต้าร์ให้แม่นยำกับทุกจังหวะ ทุกตัวโน๊ต ทุกวัน วันละหลายชั่วโมงเพื่อให้กล้ามเนื้อของนิ้วนั้นจดจำทุกตำแหน่งโน๊ตบนคอกีต้าร์ ซึ่งผลลัพท์คือพวกเขาแทบจะเล่นมันได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องมองหรือสามารถจะอิมโพรไวซ์อะไรก็ได้ด้วยสัญชาตญาณ หรืออย่างเชฟซูชิขั้นเทพในญี่ปุ่นที่ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อออกควานหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดในตลาดปลา ก่อนจะกลับมาตระเตรียมฝึกซ้อมการปรุงและการปั้นซูชิซ้ำๆเดิมๆแบบนี้ทุกวันและทุกวัน เพื่อให้ซูชินั้นมีรสชาติที่พอดีด้วยน้ำหนักของมือที่แม่นยำ ระหว่างปั้นซูชิสดๆต่อหน้าลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าได้รับความประทับใจจากซูชิทุกคำที่รับประทาน ซึ่งเรย์ อัลเลนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ใช้วินัยและความรักสร้างสิ่งที่งดงาม แม้มันจะซ้ำซากจำเจแต่เขาไม่เคยเบื่อมันเลย
จากสถิติตลอดกาลของการเป็นมือชู้ตสามแต้มอันดับหนึ่งในเอ็นบีเอ และการเป็นตัวชู้ตสามแต้มอันดับหนึ่งในวินาทีสุดท้ายให้เกมชนะหรือที่เรียกกันว่าตัวคลัทช์ ช็อต (clutch shot) ในเพลย์ออฟตั้งแต่ปี 1996 ด้วยสถิติความแม่นยำ 63% ชู้ต 16 ลง 10 คงพอจะยืนยันได้ว่าเรย์ อัลเลนคือมือปืนอาชีพที่พร้อมจะทำให้ทีมชนะและเป็นแชมป์ นี่ยังไม่นับช็อตมหัศจรรย์ที่อัลเลนเล่นมาแล้วไม่รู้กี่เกมต่อกี่เกม แต่เบื้องหลังก่อนที่เรย์ อัลเลนจะก้าวมาถึงจุดนี้สิ่งหนึ่งที่หนีไม่พ้นก็คือการฝึกฝนอย่างหนัก แต่สิ่งที่น้อยคนจะมีเหมือนอัลเลนก็คือเขาฝึกซ้อมแม้ในช่วงที่ไม่มีใครซ้อม “ทุกวัน”
ใครที่พอจะเป็นแฟนของเรย์ อัลเลนก็คงจะพอรู้มาบ้าง ว่าตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา ทุกๆเกมก่อนแข่งประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง อัลเลนจะต้องเดินทางไปอย่างสนามแข่งเพื่อเริ่มซ้อมชู้ตเป็นเวลา 20-30 นาที (pre-game shooting routine) โดยการซ้อม จะเป็นการชู้ตจาก 5 จุดรอบเส้นสามแต้ม คือบริเวณคอนเนอร์ซ้าย-ขวา 2 จุด บริเวณปีกซ้าย-ขวา 2 จุด และบริเวณเซ็นเตอร์เหนือเส้นสามแต้ม ตามด้วยการชู้ตระยะกลาง โดยแต่ละจุดจะชู้ตจุดละ 5 ลูกสลับกับการชู้ตฟรีโทรว์ 5 ลูกอย่างนี้ไปจนจบ หรือบางครั้งก็มีการซ้อมโพสหรือชู้ตด้วยสเต็ปฟุตเวิร์คที่แตกต่างออกไปบ้างในบางครั้ง ซึ่งจุดเริ่มต้นของกิจวัตรในการซ้อมชู้ตของอัลเลนนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเขายังเป็นรุคกี้อยู่ที่มิลวอกี้ บั๊คส์ ที่ที่ทำให้อัลเลนได้พบเอลเลียต เพอร์รี่และไมเคิล เคอร์รี่ รุ่นพี่ที่ให้แนวทางแก่อัลเลนในเวลานั้น
“ในปีแรกของผม ผมพยายามจะหาทางพัฒนา แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่าผมจะต้องทำอะไร ดีที่ผมมีเอลเลียต เพอร์รี่และไมเคิล เคอร์รี่เป็นพี่เลี้ยง พวกเขาจึงผลักดันให้ผมได้เริ่มต้นทำสิ่งที่ดี เราจะเริ่มออกไปที่สนามก่อนที่ใครๆ จะเข้ามา และเริ่มซ้อมชู้ตกัน ซึ่งมันทำให้คุณไม่ต้องมีใครมาคอยเกะกะคุณในสนาม เวลาคุณที่กำลังใช้สมาธิในการซ้อมชู้ตอยู่” อัลเลนกล่าว

มานู จิโนบิลี (Manu Ginobili)

 มานู จิโนบิลี (Manu Ginobili)



 ถ้าให้นับอันดับชู้ตติ้ง การ์ดที่จ่ายลูกดีที่สุด เชื่อได้ว่า มานู จิโนบิลี จะติดโผอยู่ในอันดับต้น ๆ แน่นอน เพราะลีลาการส่งลูกของเขาต้องบอกว่าเหนือชั้นไม่มีใครเกิน และต้องถือว่า ทักษะการส่งลูกนี่คือจุดแข็งของเขาเลยก็ว่าได้ ซึ่งความสามารถอันโดดเด่นนี้ก็ส่งให้เจ้าตัวได้ร่วมทีมออล สตาร์ถึง 2 ครั้ง ครองอันดับซิกซ์แมนยอดเยี่ยมปี 2008 (Sixth Man of the Year) เป็นหนึ่งในผู้เล่นของทีม NBA Champion 4 ครั้ง ออล์ เอ็นบีเอ 2 ครั้ง นอกจากนี้ยังเคยเป็นหนึ่งในผู้เล่นทีมออล สตาร์ของลีกอิตาเลียนถึง 3 นัด รวมทั้งคว้าแชมป์ FIBA แชมป์ยูโรลีก และเป็นหนึ่งในผู้เล่นทีมบาสเกตบอลที่คว้าเหรียญในเกมโอลิมปิกได้มากถึง 3 ครั้งเลยทีเดียว